Microsoft Surface คืออะไร
เป็นระบบ Virtual Computing ซึ่งเป็นแนวคิดของเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับครอบครัวแนวใหม่ โดยออกแบบมาในรูปของโต๊ะรับแขก มีหน้าจอแบบสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 30 นิ้ว ควบคุมการใช้งานด้วยนิ้วมือ โดยรับคำสั่งในรูปแบบต่างๆ ผ่านการลากนิ้ว ในแบบต่างๆ กัน และเป็นระบบ Multi touch คือการรับคำสั่งโดยการแตะมากกว่า 1 จุดได้ ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ และระบบป้อนคำสั่งด้วยนิ้วมือแบบใหม่ ทำให้เราสัมผัสกับการใช้คอมพิวเตอร์แบบใหม่
ระบบจอภาพที่ใช้จะเป็นแบบ rear projection รับรู้การสัมผัสโดยมีกล้องจับภาพวัตถุ การเลื่อนนิ้วมือ และการแตะของนิ้วมือ การทำงานแบบนี้คล้ายๆ กับการใช้งานของ Apple iPhone เพียงแต่นี่เป็นหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 30 นิ้ว ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ ที่เราเคยชินกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ด้วย mouse และ keyboard ธรรมดา
ความเป็นมาของ Microsoft Surface
ปี 2001 : Stevie Bathiche และนาย Andy Wilson ทีมงานจาก Microsoft Hardware และ Microsoft Research ได้ร่วมกันเริ่มต้นระดมสมองคิดที่จะสร้างโต๊ะอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ อย่างเวลาที่เราทำกิจกรรมอะไรบนนั้น เช่น เล่นพวกเกมกระดานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหมากฮอส, หมากรุก หรือเล่นพวกเกมไพ่ เป็นต้น
ปี 2003 : จากนั้นสองปีให้หลังทีมงานก็เอาไอเดียไปเสนอกับนาย Bill Gate ประธานของไมโครซอฟต์เวลานั้น จนกระทั่งได้สร้างโต๊ะตัวต้นแบบขึ้นตามแนวความคิดดังกล่าวบนรูปแบบโต๊ะของ IKEA หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาให้สามารถใช้งานด้านต่างๆ มากขึ้น โดยมองเห็นถึงความสามารถ และข้อดีที่ไม่เหมือนใครของพื้นผิวบนพื้นโต๊ะนั่นเอง ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงกับวัตถุอะไรก็ได้ที่นำมาวางบนตัว
ปี 2004 : ในปี 2004 ทีมงานนี้ก็ได้กลายมาเป็น The Surface Computing Group และเดินหน้าปรับแต่ง พัฒนา ต้นแบบ Surface Computing อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวฮาร์ดแวร์ของโต๊ะ ตัวฟังก์ชันหรือคุณสมบัติในการใช้งานตัว application ต่างๆ ที่จะนำมาใช้ร่วมกับโต๊ะอิเล็กทรอนิกส์แบบนี้ให้มีความสามารถมากขึ้นและดีขึ้นๆ จนมีต้นแบบมากกว่า 85 ต้นแบบ เพื่อจะให้ได้ทดลองใช้โดยนักพัฒนาซอฟต์แวร์ นักพัฒนาฮาร์ดแวร์ และนักวิจัยต่างๆ
ปี 2005 : ปลายปี 2004 ซอฟต์แวร์ในรูปแบบของ Surface Computing ก็ถูกสร้างขึ้นและปรับให้เข้ากับรูปแบบของตัวฮาร์ดแวร์ต้นแบบต่างๆ ที่แตกต่างกันหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นทรงกระบอก ทรงเหลี่ยม ทรงกลม ทำจากพลาสติก และอื่นๆ สูงบ้าง เตี้ยบ้าง และผ่านการทดสอบ และวิจัยมาอย่างยาวนาน จนในที่สุดก็เสร็จสิ้นเป็นรูปร่างที่ดูลงตัวอย่างเช่นปัจจุบันเอาในปี 2005 ที่ผ่านมา
ปี 2007 : ลักษณะของ Surface Computing ในปัจจุบัน มีจอขนาด 30 นิ้ว แสดงอยู่บนพื้นโต๊ะ ซึ่งง่ายสำหรับการใช้งานเพียงลำพัง หรืออาจจะใช้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ก็ได้ โดยการใช้นิ้วหรือมือลูบไปบนพื้นผิวของจอ ที่มีลักษณะเป็นกระจกเรียบ การสัมผัสเพื่อควบคุมการใช้งานผ่านจอของ Surface Computing ก็จะยืดหยุ่นและมีความสามารถสูงกว่า Touch Screen ทั่วๆ ไป รวมถึงความสามารถพิเศษในการถ่ายโอนข้อมูลกับอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้องดิจิตอล โทรศัพท์มือถือ หรือ PDA เพียงแค่นำอุปกรณ์เหล่านี้มาวางบนพื้นโต๊ะของ Surface Computing ก็จะสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้ทันที ไม่ต้องใช้สายต่อพ่วงให้ยุ่งยากอีกต่อไป
อนาคต : ทางไมโครซอฟต์เองให้คำมั่นว่าจะพัฒนา Surface Computing ต่อเนื่องต่อไป และจะมีการนำไปใช้งานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียน สถาบัน การศึกษา ภาคธุรกิจ และภายในบ้าน รวมไปถึงการนำไปเป็นชิ้นส่วนประกอบของอุปกรณ์ประเภทต่างๆ เช่น ผนังของตู้เย็น เป็นต้น
ส่วนประกอบของ Surface Computing
1. Screen : เป็นระบบจอสัมผัสสามารถรับสัมผัสได้ทั้งจากผู้ใช้คนเดียวหรือผู้หลายๆ คน
ได้พร้อมกัน สามารถรู้จักรูปทรงของวัตถุต่างๆ ได้ โดยการอ่านด้วยโค๊ด “domino”
2. Infrared : ทำงานใกล้เคียงกับแสงอินฟาเรด ใช้ความยาวคลื่น 850 นาโนมิเตอร์ ส่งแสงของอินฟาเรดไปที่จอภาพ เมื่อมีวัตถุมาสัมผัสที่จอภาพจะสะท้อนแสงกลับด้วยกล้อง จำนวน 5 ตัว ที่ความละเอียด 1280 x 960 pixels ไปที่จอภาพ แสงอินฟาเรด คือ แสงที่มีความยาวคลื่นต่ำกว่าแสงสีแดงลงไป ดังนั้นจึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตา ของมนุษย์ ซึ่งคุณสมบัตินี้เอง จึงทำให้ เซ็นเซอร์ชนิดที่ใช้แสงอินฟาเรด เป็นที่นิยมนำมาใช้กันมาก โดยจะอาศัยหลักการของการสะท้อนของแสง คือใช้อุปกรณ์ส่งแสงเป็นแหล่งกำเนิดปล่อยแสงออกไป และเมื่อแสงกระทบกับวัตถุด้านหน้า มันก็จะสะท้อนแสงกลับมาเข้าที่ตัวรับแสง ส่วนอัตราของการสะท้อนกลับนั้นขึ้นอยู่กับสีและสภาพความมันของวัตถุที่สะท้อน เช่น สีดำ จะมีอัตราการสะท้อนกลับ น้อยกว่าสีขาว, หรือสภาพพื้นผิวที่มีความราบเรียบ เป็นมันวาว จะสามารถสะท้อนแสงได้ดีกว่า พื้นผิวที่มีลักษณะด้านและขรุขระ เป็นต้น
3. CPU : ใช้ระบบการประมวลผลเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป
- Core 2 Duo processor
- RAM 2 GB
- Graphics card 256 MB
- Wireless 802.11 b/g
- Bluetooth 2.0
- Ethernet 10/100
- OS : Windows Vista ที่เขียนด้วย Windows Presentation Foundation (WPF)
คือ การสร้างภาพที่แสดงบนวินโดว์สวิสต้าทั้งหมดจะใช้เทคโนโลยี Vector Graphic ซึ่งทำให้ความละเอียดของภาพไม่เสียหากมีการซูม นอกจากนี้การแสดงผลต่างๆ จะเป็นสามมิติ ทำให้เราสามารถหมุน ย่อ หรือขยายโปรแกรม หรือแอพพลิเคชั่นได้ เนื่องการแสดงผลแบบสามมิติ และเทคโนโลยี Vector Graphic ทำให้คอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งวินโดว์สวิสต้าต้องการความสามารถของการ์ดแสดงผลสามมิติที่ค่อนข้างสูง รวมถึงคุณสมบัติของเครื่องที่ควรมีหน่วยความจำอย่างน้อย 1 กิกะไบต์ เราสามารถสร้างคอนโทรลที่ใช้เทคโนโลยี WPF ด้วยภาษา XAML โดยใช้โปรแกรม Blend ในการช่วยออกแบบหน้าจอ และใช้ Visual Studio 2005 ในการเขียนโปรแกรมการติดต่อกับวัตถุที่วางบนจอภาพด้วยระบบ Wi-Fi และ Bluetooth ในอนาคตจะใช้ร่วมกับ RFID หรือเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกัน
4. Projector : ใช้เหมือนกับโปรเจคเตอร์แบบ DLP (Digital Light Processing : เป็นเทคโนโลยีสำหรับการสร้างภาพโดยอาศัยกระจกที่มีขนาดเล็กมากมาทำหน้าที่ "เปิด - ปิด” แสงสว่าง โดยการพริกให้แสง "ผ่าน -ไม่ผ่าน" ออกไปที่เลนซ์) ทำการส่งภาพขึ้นไปที่หน้าจอด้วยขนาด
ความละเอียด 1024 x 768 pixels
หลักการทำงานของ Microsoft surface
“Surface” เป็นคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ด้านบนเป็นจอสัมผัสทำด้วยอะคริลิกขนาด 30 นิ้ว ประกอบด้วยกล้อง 5 ตัว มี Wi-Fi และเครือข่ายไร้สาย Bluetooth เพื่อจับหาวัตถุและการเคลื่อนไหว โดยใช้ระบบปฏิบัติการ Widows Vista กับซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟต์จะทำงานคล้ายๆ กับ Apple iPhone ที่เป็นหน้าจอระบบ multi touch screen สามารถตอบสนองต่อการสัมผัสได้มากสุดถึง 52 สัมผัส
ผู้ใช้งานสามารถเคลื่อนมือไปบนโต๊ะแล้วกล้องที่ติดอยู่กับเครื่องจะแปลการเคลื่อนไหวออกเป็นคำสั่ง ส่วนเทคโนโลยีไร้สายจะช่วยเคลื่อนย้ายการจัดเก็บภาพจากกล้องดิจิตอล หรือโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะให้เข้าสู่หน้าจอ เพียงเคลื่อนไหวมือบนหน้าจอสัมผัสก็สามารถทำให้ภาพใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงได้ นอกจากนั้นยังสามารถเคลื่อนย้ายไปยังกล้องถ่ายรูปตัวอื่น หรือฮาร์ดไดร์ฟอื่นโดยการเลื่อนภาพข้ามโต๊ะได้อีกด้วย
หลักการใช้งานของ Microsoft Surface อยู่ 4 หลัก คือ
1. Direct interaction ผู้ใช้สามารถจับต้องข้อมูลดิจิตอลด้วยมือของตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่ง keyboard หรือ mouse
2. Multi-touch contact การรับรู้จุดสัมผัสหลายจุดพร้อมกัน ไม่ใช่รับรู้แค่การแตะเพียงจุดเดียว แต่เป็นสิบๆ จุดพร้อมกันได้เลย
3. Multi-user experience ให้ความรู้สึกของการร่วมกันใช้งานของผู้ใช้หลายคน ซึ่งถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ทั่วไป จะใช้ได้เพียงคนเดียวในคราวหนึ่งๆ คนที่เหลือก็นั่งดูอยู่ข้างๆ
4. Object recognition ผู้ใช้สามารถวางวัตถุจริงๆ ลงบนหน้าจอได้เลย เช่น ถ้าเราวางโทรศัพท์มือถือไว้ เครื่องก็รับรู้ว่าเราอาจจะต้องการส่งถ่ายข้อมูล ระหว่างเครื่อง Microsoft Surface และโทรศัพท์มือถือ สามารถถ่ายรูปด้วยกล้องดิจิตอลจากนั้นก็วางกล้องลงบนโต๊ะรูปที่เราถ่ายไว้ก็จะออกมาแสดงบนจอภาพให้เห็น เราสามารถจัดแต่งภาพจากนั้นก็วางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะ แล้วลากรูปที่ได้ใส่เข้าไปในโทรศัพท์มือถือได้เลย ทั้งหมดทำได้โดยไม่ต้องมีสายเชื่อมต่อให้ยุ่งยากอีกต่อไป
รูปแบบการใช้งานของ Microsoft Surface
1. วาดรูปด้วยมือลงบนจอภาพ จากการสัมผัสด้วยนิ้วมือ โดยผู้ใช้คนเดียวหรือหลายๆ คน
ได้พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน
2. สามารถวางกล้องดิจิตอลที่มี Wi-Fi ลงบน Tabletop เครื่องจะจดจำวัตถุที่วางและดาวน์โหลดรูปจากในเครื่องโดยอัตโนมัติ หลักจากนั้นรูปก็จะแสดงทันทีที่หน้าจอ โดยที่เราสามารถหยิบจับสัมผัส เคลื่อนย้าย ย่อ-ขยายรูป หมุนรูปภาพได้เหมือนกับรูปถ่ายจริงๆ
3. มี Music Application ที่สามารถเลือกฟังเพลงได้จากปก CD สามารถเลือกเพลงแล้วนำมาใส่ใน Playlist แบบง่ายๆ และฟังเพลงได้ทันที
4. หาร้านอาหาร, โรงแรม, สถานที่ช๊อปปิ้ง และโรงหนัง จากแผนที่ได้ด้วยปลายนิ้ว
5. ดูวีดีโอได้ด้วยการสัมผัสด้วยนิ้วมือบนจอภาพ
6. วางโทรศัพท์มือถือไว้ที่จอภาพ เครื่องจะรับรู้ว่าเป็นรุ่นอะไร และมีความสามารถอะไรบ้าง และเราจะใช้งาอะไรกับมันได้บ้าง และสามารถเลือกเพลงจากจากเครื่องมาใส่ในโทรศัพท์ได้โดย ง่ายโดยวางโทรศัพท์มือถือที่มีระบบ Wi-Fi และเลือกเพลงที่ต้องการด้วยการสัมผัสจากนิ้วมือ
คุณสมบัติเด่นๆ ของ Microsoft Surface
1. มี Wi-Fi สำหรับตอบโต้กับอุปกรณ์ต่างๆ ที่วางบนจอภาพ เช่น แค่วางกล้องดิจิตอล
ที่มี Wi-Fi บนหน้าจอ เครื่องก็จะดาวน์โหลดและแสดงรูปภาพบนหน้าจอโดยอัตโนมัติ
2. สามารถตอบโต้การทำงานกับรูปภาพบนหน้าจอได้อย่างยืดหยุ่น
3. ใช้เป็นเครื่องเล่นเพลง หรือเป็น Jukebox ได้ง่ายๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น